การออกแบบกีต้าร์ไฟฟ้าให้มีเอกลักษณ์ด้านเสียง ความทนทาน และความรู้สึกขณะเล่น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทั้งงานช่างฝีมือและความเข้าใจด้านวิศวกรรมเสียงให้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน เมื่อพูดถึงแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Fender นักดนตรีส่วนใหญ่จะนึกถึง Stratocaster เป็นรุ่นแรก ๆ และในยุคที่ผู้เล่นต้องการทั้งความวินเทจและความทันสมัยในกีต้าร์ตัวเดียว กีต้าร์ไฟฟ้า Fender Ultra Luxe Vintage 60s จึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ ทั้งในด้านโทนเสียง การตอบสนอง และรายละเอียดงานประกอบที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานจริงของนักดนตรีมืออาชีพ
Stratocaster ในมุมมองงานออกแบบสมัยใหม่
ถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ Stratocaster เป็นกีต้าร์ที่ถูกพัฒนาและปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี จุดแข็งสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมากพอให้ต่อยอดทั้งด้านการออกแบบและระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้หลายรูปแบบ โดยยังคงบุคลิกเสียงหลักของ Strat เอาไว้ครบ รุ่น Ultra Luxe Vintage ’60s จึงเป็นเหมือนการตีความ Strat ยุค 60s ขึ้นมาใหม่ ให้เข้ากับผู้เล่นยุคปัจจุบันที่ต้องการทั้งความเสถียรในการตั้งสาย เสียงที่สมดุล และความสะดวกในการใช้งานทั้งบนเวทีและในสตูดิโอ
แนวคิดหลักของรุ่นนี้ คือ ทำให้เวลาเล่นรู้สึกเหมือนได้กีต้าร์วินเทจที่คุ้นมือ แต่ได้การตอบสนองที่ลื่นและแม่นยำแบบกีต้าร์สเปกสมัยใหม่ ทั้งรูปทรงบอดี้ที่โค้งรับกับลำตัว การกระจายน้ำหนักที่สมดุล การจัดวางปุ่มและสวิตช์ให้อยู่ในตำแหน่งที่เอื้อมถึงและกดได้สะดวกขณะเล่น รวมถึงสเปกคอและเฟรต ล้วนออกแบบมาให้คนที่เคยเล่น Strat รุ่นอื่นสามารถเปลี่ยนมาจับรุ่นนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องปรับตัวมาก และจะรู้สึกได้ทันทีว่าควบคุมโทนเสียงและไดนามิกของการดีดแต่ละโน้ตได้ง่ายขึ้น
โครงสร้างตัวบอดี้ของ กีต้าร์ไฟฟ้า Fender Ultra Luxe Vintage 60s และผิวสัมผัสแบบ Heirloom
บอดี้ของกีต้าร์รุ่นนี้ทำจากไม้ Alder ซึ่งเป็นไม้ยอดนิยมของ Strat ชั้นดีมาอย่างยาวนาน จุดเด่นของ Alder คือให้โทนเสียงในย่านกลางที่สมดุล ไม่หนาจนทึบ และไม่บางจนขาดน้ำหนัก เสียงคลีนที่ได้จึงโปร่ง ฟังง่าย เมื่อนำไปใช้ร่วมกับเอฟเฟค Overdrive หรือ Compressor รายละเอียดของท่อนกีต้าร์ยังคงชัด ไม่หลบหายไปจากเสียงรวม การเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ในกีต้าร์ระดับสูงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ แต่ยังช่วยให้การตอบสนองของเสียงทั้งย่านต่ำ กลาง และแหลมมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ผิวตัวกีต้าร์เคลือบด้วย Heirloom™ Nitrocellulose Lacquer ซึ่งเป็นน้ำยาเคลือบที่บางและยืดหยุ่นมากกว่าสีโพลียูรีเทน ทำให้ไม้สามารถสั่นสะเทือนได้เป็นธรรมชาติ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ผิวจะเกิดร่องรอยและลักษณะเฉพาะตัวคล้ายกีต้าร์วินเทจเก่า ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งนักสะสมและนักดนตรีมืออาชีพชื่นชอบ เพราะรู้สึกว่าเครื่องดนตรีมีบุคลิกและเติบโตไปพร้อมกับผู้เล่น
รูปทรงตัวบอดี้แบบ Ultra Contours และช่วงคอที่ไล่ระดับบริเวณ neck heel ถูกปรับให้เข้ากับสรีระมากขึ้น โดยเฉพาะตอนยืนเล่นนาน ๆ ขอบตัวกีต้าร์โค้งรับกับลำตัว ไม่บาดแขน ส่วนท้ายคอที่ออกแบบให้บางลงช่วยให้เอื้อมไปเล่นเฟรตบนได้ง่ายโดยไม่ติดขอบบอดี้ เมื่อนำมารวมกับน้ำหนักโดยรวมที่สมดุลระหว่างคอและบอดี้ ทำให้ทั้งการเล่นจังหวะและการโซโล่ในตำแหน่งสูงรู้สึกมั่นคงและควบคุมได้ดี
ผลของไม้และผิวเคลือบต่อโทนเสียงในงานจริง
ในสถานการณ์การเล่นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นร่วมกับวงเต็มวง หรือการอัดเสียงกีต้าร์ซ้อนกันหลายครั้งในเพลงเดียว ไม้ Alder ที่เคลือบด้วย Nitro แบบบางช่วยให้เสียงกีต้าร์ไม่หนาจนไปทับกับความถี่ของเบสหรือคีย์บอร์ด และไม่บางจนกลืนหายไปกับเสียงอื่นในเพลง ย่านเสียงกลางที่ค่อนข้างสมดุลช่วยให้เสียงกีต้าร์แยกออกจากดนตรีทั้งวงได้ชัดเจน โดยไม่แหลมจนฟังนานแล้วรู้สึกล้า โดยเฉพาะเมื่อตั้งเสียงคลีน หรือใช้โทน Crunch เบา ๆ ซึ่งเป็นโทนยอดนิยมของ Strat ลักษณะการตอบสนองแบบนี้เหมาะมากสำหรับงานสตูดิโอที่ต้องการให้ทุกโน้ตชัดเจนและคงที่
ระบบปิ๊กอัพ HSS และอิเล็กทรอนิกส์สำหรับงานดนตรีหลายสไตล์
ระบบปิ๊กอัพของรุ่นนี้เป็นแบบ HSS โดยตำแหน่งคอและตำแหน่งกลางใช้ปิ๊กอัพ Pure Vintage ’61 Strat® Single-Coils ซึ่งให้บุคลิกใกล้เคียงซิงเกิลคอยล์สไตล์ยุค 60s ทั้งในด้านความใส ปลายเสียงที่เปิดและโปร่ง และการตอบสนองต่อไดนามิกของการดีดแต่ละโน้ต เวลาเล่นเบา ๆ หรือดีดแรงขึ้นจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้ชัดเจน เมื่อนำไปเล่นกับแอมป์หลอดร่วมกับ Overdrive ระดับเบา ๆ จะได้โทนที่ใสแต่นุ่ม เหมาะกับแนวบลูส์ ป๊อป แจ๊สฟิวชัน หรือเพลงสมัยใหม่ที่ต้องการท่อนกีต้าร์ที่ฟังชัด แต่ไม่แหลมแข็งจนเกินไป
ตำแหน่งบริดจ์ใช้ Haymaker™ Humbucker ซึ่งให้ความแรงของสัญญาณมากขึ้น รองรับการเล่นร็อกสมัยใหม่หรือโซโล่ที่ต้องการเสียงหนาและชัด โทนเสียงไม่จัดจ้านจนเกินไป จึงนำไปใช้กับแนวป๊อปร็อก อินดี้ หรือดนตรีกระแสหลักที่อยากให้กีต้าร์โดดเด่น แต่ยังเหลือที่ว่างให้เครื่องดนตรีอื่นมีพื้นที่ของตัวเอง นอกจากนี้ Humbucker ยังช่วยลดเสียงจี่เมื่อต้องใช้เกนสูงหรือเล่นในสถานที่ที่มีสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าเยอะ ๆ
วงจรอิเล็กทรอนิกส์ให้คอนโทรลหลักครบตามแบบ Strat คือมี Master Volume ปุ่มโทนตัวแรกสำหรับปิ๊กอัพคอและกลาง และปุ่มโทนตัวที่สองสำหรับบริดจ์ สวิตช์เลือกปิ๊กอัพ 5 ทางช่วยให้เลือกเสียงได้ทั้งตำแหน่งเดี่ยวและตำแหน่งผสม ผู้เล่นจึงตั้งเสียงให้เหมาะกับแต่ละช่วงของเพลงได้ง่าย เช่น ใช้เสียงใส ๆ ตำแหน่งคอในท่อนเวิร์ส แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหนาจากบริดจ์ในท่อนฮุก โดยไม่ต้องปรับแอมป์ใหม่ทุกครั้ง
การใช้งาน S-1 Switch และ Coil Split ในสถานการณ์ต่าง ๆ
ปุ่ม S-1™ Switch ที่ซ่อนอยู่ในปุ่มโวลุ่มหลักช่วยให้ผู้เล่นสลับโหมดของ Humbucker ให้เหลือเพียงคอยล์เดียวได้ทันที ลักษณะเสียงที่ได้จะบางลงและโปร่งขึ้น ใกล้เคียงซิงเกิลคอยล์ เหมาะกับจังหวะที่ต้องการเปลี่ยนอารมณ์เพลงจากท่อนที่ใช้เสียงหนาและดุดัน ไปเป็นท่อนที่อยากให้กีต้าร์บางลงและเปิดมากขึ้น เช่น จากท่อนฮุกไปสู่ท่อนบริดจ์ที่เน้นบรรยากาศโปร่ง เมื่อใช้ร่วมกับตำแหน่งปิ๊กอัพผสมกลาง–บริดจ์ จะได้เสียงที่มีมิติและลักษณะเฉพาะตัว เหมาะกับการเล่นจังหวะหรืออาร์เปจจิโอเบา ๆ
ในงานสตูดิโอ การมี S-1 Switch และระบบ coil split ทำให้ผู้เล่นสามารถบันทึกเสียงกีต้าร์ได้หลากหลายบุคลิกโดยใช้กีต้าร์ตัวเดียว สามารถอัดท่อนหลักด้วยเสียง Humbucker เต็ม ๆ แล้วเพิ่มชั้นเสียงซ้อนด้วยเสียงคอยล์เดี่ยวที่โปร่งกว่า ทำให้เสียงรวมของทั้งเพลงฟังมีมิติมากขึ้น โดยยังคงความรู้สึกในการเล่นจากกีต้าร์ตัวเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องไปมาให้เสียจังหวะ
คอ Modern “D” ฟิงเกอร์บอร์ด Compound และเฟรต Stainless Steel
สเปกคอเป็นส่วนที่ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกของคนเล่น รุ่นนี้ใช้ทรง Modern “D” ที่ให้ความรู้สึกเต็มมือแต่ไม่เทอะทะ คนที่เล่นคอทรง C สมัยใหม่อยู่แล้วมักจะปรับตัวเข้ากับทรงนี้ได้ไม่ยาก ความหนาคอที่ไล่ระดับช่วยให้จับคอร์ดแน่น ๆ ช่วงเฟรตล่างได้มั่นคง และยังโซโล่ในเฟรตบนได้คล่อง การเลือกใช้ไม้คอ Maple แบบ quartersawn ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ไม่บิดหรือคดง่าย ทำให้การตั้งคอและการตั้ง action มีความเสถียร แม้ต้องเจอสภาพอากาศเปลี่ยนบ่อยหรือเดินสายทัวร์บ่อยครั้ง
ฟิงเกอร์บอร์ด Rosewood ที่ใช้เรเดียส 10"-14" แบบ compound ช่วยให้เล่นได้สบายขึ้นทั้งช่วงล่างและช่วงบน ช่วงเฟรตต้นเรเดียสจะโค้งมากกว่า เหมาะกับการจับคอร์ดเปิดและคอร์ดบาร์ ส่วนช่วงเฟรตบนเรเดียสจะราบขึ้น ทำให้ดันสายได้สูงโดยไม่ทำให้โน้ตดับง่าย ขอบฟิงเกอร์บอร์ดแบบ Ultra Rolled Edges ที่ลบมุมให้มนเหมือนผ่านการเล่นมาแล้วนาน ทำให้ปลายนิ้วไม่สะดุดขอบไม้เมื่อเลื่อนมือ ลดอาการล้าหรือเจ็บนิ้วเมื่อเล่นต่อเนื่องหลายชั่วโมง
เฟรต Medium Jumbo Stainless Steel เป็นอีกหนึ่งจุดที่ออกแบบมาสำหรับผู้เล่นจริงจัง วัสดุสเตนเลสมีความทนทานกว่านิกเกิลอย่างชัดเจน ทำให้เฟรตสึกช้าลงแม้เล่นบ่อย ใช้เทคนิคดันสายแรง ๆ หรือสไลด์โน้ตยาว ๆ อยู่เป็นประจำ เสียงที่ได้จากการสไลด์และการดันสายจะลื่นและนิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ควบคุมความตรงของเสียงได้ง่ายขึ้น เสริมด้วยจุดบอกตำแหน่งข้างคอแบบ Luminlay® ที่เรืองแสงในที่มืด ช่วยให้มองตำแหน่งเฟรตได้ชัดบนเวทีที่แสงไม่มาก
ความรู้สึกในการเล่นในสไตล์ต่าง ๆ
ถ้าให้ลองมองจากมุมของผู้เล่นสายร็อก การโซโล่ที่ต้องการทั้งความเร็วและความแม่นยำจะได้ประโยชน์จากเฟรต Medium Jumbo และเรเดียสแบบ compound อย่างเต็มที่ เพราะทั้งเฟรตและรูปทรงฟิงเกอร์บอร์ดช่วยให้โน้ตติดนิ้วและดันสายได้มั่นใจ ส่วนผู้เล่นสายบลูส์หรือแจ๊สฟิวชันจะชื่นชอบความรู้สึกขณะเล่นบนฟิงเกอร์บอร์ด Rosewood ที่ให้ทั้งความหนึบและความลื่นในเวลาเดียวกัน ทำให้ใส่อารมณ์ในโน้ตแต่ละตัวได้ง่าย
สำหรับผู้ที่ทำงานในสตูดิโอ จุดแข็งคือความเสถียรในการตั้งสายและการตั้ง action ต่ำได้โดยที่สายไม่บัซง่าย ช่วยลดเวลาในการ setup เครื่องก่อนอัดเสียง และทำให้กีต้าร์พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เมื่อต้องอัดหลายเพลงหรืองานยาว ๆ ก็ยังควบคุมความรู้สึกในการเล่นได้ใกล้เคียงกันในทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาเล่น
การใช้งานจริงของ กีต้าร์ไฟฟ้า Fender Ultra Luxe Vintage 60s ทั้งบนเวทีและในสตูดิโอ
เมื่อนำกีต้าร์รุ่นนี้ไปใช้งานบนเวที ตัวกีต้าร์ถูกออกแบบให้สมดุลระหว่างคอและบอดี้ จึงไม่รู้สึกว่าคอกีต้าร์หนักดึงลงเมื่อสะพายเล่นนาน ๆ ระบบสะพานสายแบบ 2-Point Deluxe Synchronized Tremolo พร้อมก้านคันโยกแบบ pop-in ช่วยให้ควบคุมการโยกเสียงได้ละเอียด ตั้งแต่การสั่นปลายโน้ตเบา ๆ เพื่อเพิ่มมิติของเสียง ไปจนถึงการกดคันโยกลงลึกสำหรับเทคนิคสมัยใหม่ เมื่อตั้งร่วมกับลูกบิด Deluxe Staggered Cast/Sealed ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของสาย การจูนเสียงจึงนิ่งและเชื่อถือได้ แม้ใช้คันโยกบ่อยระหว่างเล่นทั้งเซ็ต
ในงานสตูดิโอ จุดเด่นคือความเงียบของระบบไฟและปิ๊กอัพ Humbucker ที่ตำแหน่งบริดจ์ ซึ่งช่วยลดเสียงรบกวนเมื่อใช้เกนสูง การมีทั้งโทนซิงเกิลคอยล์แบบวินเทจจากตำแหน่งคอและกลาง และโทนหนาจาก Humbucker ตำแหน่งบริดจ์ ทำให้สามารถจัดบทบาทของกีต้าร์ในเสียงรวมได้ยืดหยุ่น เช่น ใช้เสียงใส ๆ เล่นเป็นท่อนกีต้าร์ประกอบด้านหลัง แล้วใช้เสียงหนาเล่นเป็นโซโล่หลักของเพลง โดยยังใช้กีต้าร์ตัวเดิมตัวเดียว
การที่มาพร้อมกล่องแข็ง Deluxe Hardshell Case ยังสะท้อนแนวคิดที่เน้นผู้เล่นจริงเป็นศูนย์กลาง ช่วยให้พกพาเครื่องดนตรีไปเล่นนอกสถานที่ได้อย่างมั่นใจ ทั้งในแง่การปกป้องตัวกีต้าร์จากการกระแทกระหว่างเดินทาง และในมุมภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นเมื่อไปทำงานหรือขึ้นเวที
สรุปภาพรวมความครบเครื่องของ กีต้าร์ไฟฟ้า Fender Ultra Luxe Vintage 60s
เมื่อมองภาพรวม รุ่นนี้คือ Strat ระดับไฮเอนด์ที่ผสานโทนเสียงยุค 60s เข้ากับความสะดวกของสเปกสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ทั้งตัวบอดี้ไม้ Alder เคลือบ Nitro ที่ช่วยให้เสียงเปิดและเป็นธรรมชาติ ระบบปิ๊กอัพ HSS ที่ครอบคลุมตั้งแต่โทนคลีนใสไปจนถึงเสียงไดรฟ์หนา วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบให้ยืดหยุ่น คอ Modern “D” ฟิงเกอร์บอร์ด compound และเฟรต Stainless Steel ที่ตอบโจทย์การเล่นจริง รวมถึงรายละเอียดเล็ก ๆ อย่าง Luminlay side dots และกล่องแข็งแบบ Deluxe ที่ช่วยให้การใช้งานในชีวิตจริงสะดวกขึ้นมาก
สำหรับนักดนตรีที่ต้องการกีต้าร์พร้อมลุยทั้งเวทีและสตูดิโอ และมองหาเครื่องดนตรีที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือทำงาน แต่เป็นคู่หูในระยะยาว รุ่น Ultra Luxe Vintage ’60s Stratocaster ตัวนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ควรหาโอกาสไปลองจับด้วยตัวเอง เพราะให้ทั้งความมั่นใจด้านโทนเสียง ความทนทาน และแรงบันดาลใจทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาเล่น
สนใจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lazada และ Shopee ได้เลยที่นี่
🛒สั่งซื้อได้ที่นี่
รีวิวโดย gooddymusic







ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น