เจาะลึกเรื่องโหมด ตอนที่ 7: Locrian Mode (โลเครียน โหมด) - โหมดที่ท้าทายและน่าสนใจ

Locrian Mode

Locrian Mode: โหมดที่ท้าทายและน่าสนใจที่สุดในดนตรี

     Locrian Mode เป็นหนึ่งในเจ็ดโหมดที่ได้มาจากสเกลเมเจอร์ แต่เป็นโหมดที่มีลักษณะพิเศษและแตกต่างจากโหมดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด โหมดนี้ให้เสียงที่ไม่ค่อยพบในเพลงทั่วไป แต่มีความน่าสนใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์เพลงได้อย่างหลากหลาย


Locrian Mode คืออะไร?

     Locrian Mode เกิดจากการนำโน้ตตัวที่ 7 ของสเกลเมเจอร์มาเป็นโน้ตตัวแรกของสเกลใหม่ โครงสร้างของ Locrian Mode คือ H-W-W-H-W-W-H (H = half step, W = whole step) ซึ่งแตกต่างจากโหมดอื่นๆ ตรงที่มี half step อยู่ที่ตำแหน่งแรกและตำแหน่งที่ 5 ทำให้เกิดเสียงที่ไม่เสถียรและมีความรู้สึกที่ไม่สมบูรณ์

Locrian Mode For Guitar


ทำไม Locrian Mode ถึงน่าสนใจ?

  • เสียงที่ไม่ธรรมดา: Locrian Mode ให้เสียงที่ไม่ค่อยพบในเพลงทั่วไป ทำให้เพลงของคุณมีความเป็นเอกลักษณ์
  • ความท้าทาย: การใช้ Locrian Mode เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับนักดนตรี เพราะเสียงของมันอาจจะฟังดูแปลกหูในตอนแรก แต่เมื่อฝึกฝนจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่น่าสนใจได้
  • ดนตรีทดลอง: Locrian Mode มักถูกนำไปใช้ในดนตรีทดลองและเพลงแนว avant-garde เพื่อสร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร


โครงสร้างของ Locrian Mode

    หากเราใช้สเกล C Major เป็นตัวอย่าง Locrian Mode ที่ได้คือ B Locrian ซึ่งมีโน้ตดังนี้: B C D E F G A B


การนำ Locrian Mode ไปใช้

  • สร้างบรรยากาศ: ใช้ Locrian Mode สร้างบรรยากาศที่ลึกลับ น่ากลัว หรือไม่สมบูรณ์
  • สร้างความตึงเครียด: Locrian Mode สามารถสร้างความตึงเครียดในเพลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • โซโล่กีตาร์: ใช้ Locrian Mode สร้างโซโล่ที่แปลกใหม่และน่าสนใจ
  • แต่งเพลง: นำ Locrian Mode ไปประยุกต์ใช้ในการแต่งเพลงแนวต่างๆ โดยเฉพาะเพลงแนว experimental หรือ avant-garde

How to Locrian Mode


Locrian Mode กับคอร์ด

     Locrian Mode เข้ากันได้ดีกับคอร์ด diminished เช่น B diminished ซึ่งเป็นคอร์ดที่ให้ความรู้สึกไม่สมบูรณ์และลึกลับ นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับคอร์ดอื่นๆ ได้ แต่จะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของเพลง


Locrian Mode กับการโซโล่กีตาร์

     Locrian Mode เป็นสเกลที่ท้าทายสำหรับการโซโล่กีตาร์ แต่เมื่อใช้ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณสร้างโซโล่ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจ การใช้เทคนิคต่างๆ เช่น bending, vibrato และ hammer-on จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับโซโล่ของคุณมากยิ่งขึ้น


เทคนิคการประยุกต์ใช้ Locrian Mode

  • ผสมผสานกับโหมดอื่นๆ: ลองผสมผสาน Locrian Mode กับโหมดอื่นๆ เช่น Phrygian หรือ Altered เพื่อสร้างสีสันที่แตกต่าง
  • เปลี่ยนคีย์: เปลี่ยนคีย์ของ Locrian Mode เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับเพลงของคุณ
  • ใช้เทคนิคการเล่นต่างๆ: ใช้เทคนิคการเล่นกีตาร์ที่หลากหลายเพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับเพลงของคุณ


หมายเหตุ : Altered ในบริบทของดนตรีหมายถึงการ ปรับเปลี่ยน สเกลหรือคอร์ดจากรูปแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างสีสันและความแปลกใหม่ให้กับดนตรี โดยมีหลายวิธีในการปรับเปลี่ยนสเกล แต่โดยทั่วไปแล้วจะทำการปรับเปลี่ยนโน้ตตัวที่ 5 หรือตัวที่ 9 ของสเกลหลัก เช่น

  • Altered Dominant: การปรับเปลี่ยนสเกลโดมิแนนต์ โดยการเพิ่มโน้ตแชป (♯) ให้กับโน้ตตัวที่ 5 และโน้ตแฟลต (♭) ให้กับโน้ตตัวที่ 9
  • Superimposing: การนำสเกลอื่นๆ มาซ้อนทับกับสเกลหลักเพื่อสร้างสเกลใหม่
  • Modal Interchange: การเปลี่ยนแปลงโหมดของสเกลในระหว่างการเล่น


     Locrian Mode เป็นโหมดที่น่าสนใจและมีความท้าทาย การทำความเข้าใจ Locrian Mode จะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์เพลงที่มีความเป็นเอกลักษณ์และแตกต่างออกไปได้

Mode In-Depth Part 7


     การหาเพลงที่ใช้ Locrian Mode อย่างชัดเจนและโดดเด่นอาจเป็นเรื่องยากสักหน่อย เนื่องจาก Locrian Mode มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ดนตรีที่ซับซ้อน หรือผสมผสานกับโหมดอื่นๆ เพื่อสร้างสีสันที่หลากหลาย ทำให้การระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเพลงใดใช้ Locrian Mode ทั้งหมดอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป


     อย่างไรก็ตาม มีเพลงบางเพลงที่เราสามารถชี้ชวนได้ว่ามีการนำลักษณะของ Locrian Mode มาใช้ในการสร้างสรรค์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในเพลงแนว Metal, Hard Rock หรือเพลงที่เน้นความหนักแน่นและความดิบ


ตัวอย่างเพลงที่อาจมีการนำลักษณะของ Locrian Mode มาใช้:

  • Painkiller – Judas Priest: เพลง Metal คลาสสิกที่โดดเด่นด้วยความหนักแน่นและความดิบ ซึ่งในบางช่วงของเพลง โดยเฉพาะในส่วนของโซโล่กีตาร์ จะพบว่ามีการใช้โน้ตและคอร์ดที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับ Locrian Mode ทำให้เกิดความรู้สึกที่มืดมนและน่าสะพรึงกลัว



  • Army of Me – Björk: เพลง Alternative Rock ที่มีโครงสร้างดนตรีที่แปลกใหม่และซับซ้อน ในเพลงนี้มีการใช้สเกลและคอร์ดที่ไม่ค่อยพบเห็นทั่วไป ซึ่งอาจมีการนำลักษณะของ Locrian Mode มาผสมผสานเพื่อสร้างบรรยากาศที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ


คำแนะนำเพิ่มเติม

  • ฝึกเล่น Locrian Mode เป็นประจำ: การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับเสียงของโหมดนี้มากยิ่งขึ้น
  • ฟังเพลงที่ใช้ Locrian Mode: พยายามฟังเพลงแนว experimental หรือ avant-garde เพื่อสังเกตการใช้ Locrian Mode
  • ลองสร้างเพลงของคุณเอง: นำความรู้ที่ได้มาไปประยุกต์ใช้ในการแต่งเพลงของคุณเอง


     อธิบายครบทั้ง 7 โหมดทางดนตรีเรียบร้อยแล้ว ให้ผู้อ่านลองนำไปทำความเข้าใจ ลองประยุคใช้ ลองสังเกตเพลงต่างๆที่ใช้โหมดต่างๆ ดูวิธีคิด วิธีเรียบเรียงเพลงของศิลปิน นักแต่งเพลงดูว่า เพลงนั้นเขาคิดอะไร เขาต้องการสื่ออะไร จะยิ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องโหมดและสเกลมากขึ้น แต่ยังไม่หมดเท่านี้ ยังมีสเกลย่อยๆที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ผู้เขียนจะนำมานำเสนอให้ได้รับทราบและทำความเข้าใจกันอีกในบทความหน้า ลองติดตามกันดูนะครับ

7 Mode in music

เครดิต : 

Judas Priest

björk


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น