เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II กับมาตรฐานใหม่ของแจ๊สเบสยุคปัจจุบัน

เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II รวมสีตัวถังหลายแบบ โทนแจ๊สเบสสำหรับงานเวทีและสตูดิโอ

    ในโลกของเครื่องดนตรีสาย “เบสไฟฟ้า” ไม่ได้มีหน้าที่แค่คุมจังหวะต่ำอย่างเดียว แต่ยังช่วยวางฐานฮาร์โมนี ทำให้เพลงแน่น และพาอารมณ์ของวงไปด้วย และ เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II คือหนึ่งในรุ่นที่ทำให้เห็นชัดว่า “ความคลาสสิก” สามารถอยู่ร่วมกับ “การใช้งานสมัยใหม่” ได้อย่างลงตัว ตั้งแต่วัสดุ โครงสร้าง ไปจนถึงภาคไฟฟ้าที่ปรับโทนได้กว้าง รีวิวนี้จะอธิบายแบบเป็นขั้นเป็นตอนให้มือใหม่อ่านเข้าใจง่าย พร้อมเก็บรายละเอียดที่มือเบสสายจริงจังนำไปใช้ได้จริง

มุมด้านข้างบอดี้สีเข้ม โชว์บริดจ์ ปิ๊กอัพ และปิ๊กการ์ดโลหะ พร้อมปุ่มคอนโทรลเรียงสี่ตัว

เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II กับแนวคิดการออกแบบ American Ultra

     Fender ออกแบบซีรีส์ American Ultra ให้เหมาะกับการใช้งานจริงมากขึ้น โดยเน้น 3 เรื่องหลัก คือ เล่นสบาย ปรับโทนเสียงได้หลากหลาย และให้เสียงนิ่งสม่ำเสมอ ทั้งบนเวทีและในห้องอัด ขณะเดียวกันยังคงเอกลักษณ์ของ Jazz Bass® ไว้ครบ ทั้งรูปทรงและความรู้สึกขณะเล่น


     บอดี้ใช้ไม้ Select Alder ซึ่งเป็นไม้ยอดนิยมในกีต้าร์และเบส เพราะให้เสียงบาลานซ์ ย่านกลางชัด และตอบสนองต่อแรงนิ้วได้เป็นธรรมชาติ รุ่นนี้เคลือบผิวด้วย Gloss Urethane ช่วยให้ผิวดูเงาสวยและทนทาน เหมาะกับการใช้งานระยะยาว

บอดี้ เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II โทนซันเบิร์สต์ โชว์ปิ๊กการ์ดสีทอง ปิ๊กอัพ และปุ่มปรับเสียง

     สิ่งที่ทำให้รุ่นนี้น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังเปลี่ยนเบสตัวใหม่ หรือขยับไปใช้เบสระดับสูงขึ้น คือรายละเอียดหลายจุดถูกออกแบบมาเพื่อการเล่นจริง ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกและมั่นใจขึ้น ไม่ได้ทำมาเพื่อความสวยงามหรือความหรูหราอย่างเดียว


เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II กับโครงสร้างคอที่เหนือชั้น

     ส่วนที่มือเบสสัมผัสได้เร็วที่สุดคือ “คอ” เพราะมือซ้ายต้องจับอยู่ตลอดเวลา รุ่นนี้ใช้คอ Quartersawn Maple ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงและเสถียร ช่วยลดโอกาสที่คอจะบิดงอเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน


     การยึดคอแบบ 5-Bolt (ยึดด้วยสกรู 5 จุด) ทำให้คอแน่นขึ้น และช่วยถ่ายทอดแรงสั่นของสายไปยังบอดี้ได้ดีขึ้น ผลที่ได้คือโน้ตนิ่งขึ้น และควบคุมเสียงได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาเล่นสดที่ต้องการความมั่นใจ

ด้านหลังบอดี้สีน้ำเงิน คอเมเปิลและเพลทคอ โชว์ช่องฝาหลังและตำแหน่งสายพาดคอ

     คอทรง Modern “D” ให้ความรู้สึกกระชับ จับถนัด เหมาะทั้งการเล่นไลน์เดินเบสและการเล่นเร็ว ฟิงเกอร์บอร์ดเป็น Ebony ผิวลื่น ช่วยให้การเลื่อนตำแหน่งทำได้คล่อง และให้โทนที่คมชัดขึ้น โดยเฉพาะย่านบน


     อีกคำที่มือใหม่ควรรู้คือ Fingerboard Radius ซึ่งหมายถึง “ความโค้งของฟิงเกอร์บอร์ด” หรือความโค้งของส่วนที่นิ้วกดสาย รุ่นนี้ใช้ Compound Radius 10”–14” คือช่วงใกล้นัทจะโค้งมากกว่า และจะค่อย ๆ แบนลงเมื่อขยับไปตำแหน่งเฟรตสูง ๆ ข้อดีคือช่วงล่างจะวางนิ้วกดสายได้ถนัดขึ้น จับตำแหน่งพื้นฐานได้สบายมือขึ้น ส่วนช่วงบนจะเล่นโน้ตเร็ว ๆ และเลื่อนตำแหน่งได้คล่องขึ้น


เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II กับภาคไฟฟ้าและการคุมโทนเสียง

     รุ่นนี้ใช้ปิ๊กอัพ Ultra II Noiseless™ Vintage Jazz Bass® ทั้งตำแหน่งหน้าและกลาง จุดเด่นคือยังคงคาแรคเตอร์แบบ Jazz Bass แต่ลดเสียงรบกวนอย่าง Noise/Hum ได้ดี เหมาะกับการอัดเสียง หรือเล่นในสถานที่ที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้น


     ระบบควบคุมเสียงถูกวางมาให้ “ปรับได้ละเอียด” แต่ยังทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าแบ่งแบบง่าย ๆ จะเป็น ปรับดัง ปรับบาลานซ์ปิ๊กอัพ และปรับ EQ

บอดี้ เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II สีน้ำเงิน โชว์ปิ๊กอัพ ปุ่มคอนโทรล และบริดจ์แบบ 4 แซดเดิล

  • Master Volume มาพร้อม S-1™ Switch สำหรับสลับ Active/Passive
  • Pan Pot ใช้บาลานซ์สัญญาณระหว่างปิ๊กอัพหน้าและกลาง
  • Stacked Concentric EQ ใช้ปรับ Mid, Treble และ Bass แบบแยกย่าน
  • Mini-Toggle ใช้เลือก Midrange Frequency ระหว่าง 325 Hz และ 750 Hz


     สำหรับมือใหม่ เคล็ดลับสำคัญคือ “อย่าปรับหลายอย่างพร้อมกัน” ให้ปรับทีละจุด ฟังทีละความเปลี่ยนแปลง จะเรียนรู้โทนเสียงได้ไวกว่า และไม่หลงทางระหว่างการปรับ


ฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบเพื่อความนิ่งของเสียง

     ฮาร์ดแวร์เป็นส่วนที่หลายคนมองข้าม แต่ส่งผลต่อความนิ่งของเสียงและความสบายในการเล่นโดยตรง


     บริดจ์เป็น 4-Saddle Adjustable HiMass™ รองรับทั้ง String-Through-Body และ Top-Load โดยทั่วไป HiMass ช่วยให้โน้ตแน่นขึ้น และได้ sustain ที่ดีขึ้นในทางปฏิบัติ


     ลูกบิด Fender® “F” แบบ Light-Weight ช่วยลดน้ำหนักบริเวณหัวเบส ทำให้เบสสมดุลขึ้น เวลายืนเล่นนาน ๆ จึงลดโอกาสที่หัวเบสจะถ่วงลงจนรู้สึกเมื่อยมือซ้าย ส่วนปุ่มคอนโทรลแบบ Heavy Knurled Flat-Top มีผิวกันลื่น จับหมุนได้ถนัด จึงปรับเสียงได้แม่นยำแม้กำลังเล่นอยู่

หัวเบสและลูกบิด เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II มุมด้านหลัง แสดงความเรียบร้อยของงานฮาร์ดแวร์

การใช้งานจริงและแนวเพลงที่เหมาะสม

     ถ้ามองด้านการใช้งาน รุ่นนี้เหมาะกับคนที่ต้องเล่นหลายแนว เพราะสลับ Active/Passive ได้ ทำให้ได้ทั้งโทนวินเทจที่เป็นธรรมชาติ และโทนสมัยใหม่ที่คมชัด

ด้านหลังบอดี้ซันเบิร์สต์ คอเมเปิล โชว์ช่องฝาหลังและทรงบอดี้แบบโค้งรับลำตัว

  • งานเวที: ต้องการความนิ่งของสัญญาณและโทนที่ตัดผ่านวงได้ง่าย
  • งานสตูดิโอ: ต้องการปิ๊กอัพที่เงียบ และโทนที่ปรับละเอียดได้
  • งานซ้อม/พัฒนาเทคนิค: คอเล่นสบายและตอบสนองดี ทำให้ฝึกได้ต่อเนื่อง


     สำหรับมือใหม่ จุดที่ช่วยมากคือปิ๊กอัพแบบ Noiseless ทำให้โฟกัสกับการควบคุมมือได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลเสียงฮัมรบกวนมากนัก


อุปกรณ์เสริมและรายละเอียดที่เพิ่มคุณค่า

     ในชุดมี Deluxe Molded Case ช่วยปกป้องเครื่องดนตรีได้ดี เหมาะกับคนที่ต้องเดินทางหรือย้ายสถานที่ซ้อมเป็นประจำ


     รายละเอียดที่ใช้งานได้จริง เช่น Nut วัสดุ Graph Tech® TUSQ® ช่วยให้การตั้งสายลื่นและนิ่งขึ้น และ Side Dots แบบ Luminlay® ช่วยให้มองตำแหน่งเฟรตได้ง่ายในที่แสงน้อย


     สายที่ให้มาเป็น Fender® 7250M Nickel Plated Steel Roundwound (.045–.105) ซึ่งเป็นขนาดสายที่เล่นได้หลากหลายแนว เหมาะเป็นจุดเริ่มต้น ก่อนจะไปเลือกสายตามสไตล์ของตัวเอง


เบสไฟฟ้า Fender American Ultra II ตั้งค่าเสียงให้เข้ากับแนวเพลง

ฟังเสียงจริง 2:44 นาที เพื่อเทียบโทนก่อนดูแนวตั้งค่า

  • เริ่มจากตั้งค่าแบบ Flat (ทุกย่านอยู่ตรงกลาง) ก่อน แล้วค่อยขยับทีละจุด จะฟังความต่างได้ชัดกว่า
  • ถ้าต้องการโทนวินเทจที่นุ่มและเป็นธรรมชาติ ให้ใช้โหมด Passive แล้วค่อยเพิ่มความสว่างของปลายเสียงเล็กน้อยตามความชอบ
  • ถ้าต้องการความพุ่งในวง ให้เพิ่มย่านกลางอย่างพอดี และเลือก Midrange Frequency ให้เข้ากับเพลง บางเพลง 325 Hz จะหนาและกลมกว่า ส่วน 750 Hz จะชัดและพุ่งกว่า
  • เวลาซ้อมกับวง ให้ปรับจากเสียงในวง ไม่ปรับจากการเล่นคนเดียว เพราะกลอง กีต้าร์ และคีย์บอร์ดจะใช้พื้นที่ความถี่ร่วมกัน
  • ตั้งความดังให้เหลือเฮดรูมพอสมควร เพื่อไม่ให้สัญญาณอั้นหรือแตกเมื่อเล่นหนักขึ้น


เลือกสายและเซ็ตอัปให้เล่นง่ายขึ้นในชีวิตจริง

  • ขนาดสาย .045–.105 เป็นจุดเริ่มต้นที่บาลานซ์ เล่นได้ทั้งนิ้วและปิ๊ก โดยไม่บางหรือหนาเกินไป
  • ถ้าต้องการเสียงพุ่งและตอบสนองไว ให้ดูแลสายด้วยการล้างมือก่อนเล่น และเช็ดสายหลังเล่น จะช่วยยืดอายุสายได้มาก
  • ถ้าต้องการให้เสียงแน่นและหนาขึ้นสำหรับแนวร็อกหรือป๊อป ลองปรับให้สายอยู่ใกล้เฟรตขึ้นเล็กน้อย (ลดความสูงสาย) จากนั้นให้เช็คโน้ตสายล่าง ๆ ว่ามีเสียงสั่นครูดกับเฟรตหรือไม่ หากมี แปลว่าสายอาจต่ำเกินไป ควรปรับกลับขึ้นนิดหนึ่ง
  • ตั้งอินโทเนชันทุกครั้งหลังเปลี่ยนสาย เพื่อให้โน้ตช่วงปลายคอไม่เพี้ยน โดยเฉพาะเมื่อต้องอัดเสียงหลายแทร็ก
  • ตรวจจุดสัมผัสที่นัทและแซดเดิลเป็นระยะ เพื่อให้การตั้งสายลื่นขึ้น และเสียงนิ่งขึ้น


ดูแลผิวเคลือบและฮาร์ดแวร์ให้สวยนาน

  • เช็ดคราบเหงื่อหลังเล่นทุกครั้งด้วยผ้านุ่มแห้ง เพื่อลดคราบหมองบนผิวเคลือบและฮาร์ดแวร์
  • หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีฤทธิ์แรง เพราะอาจทิ้งคราบบนผิว Gloss และทำให้ผิวไม่สม่ำเสมอ
  • หากเล่นในที่อากาศชื้น ควรเก็บในเคสเมื่อไม่ได้ใช้งาน และใส่ซองกันชื้นในระดับที่พอดี
  • เช็คความแน่นของสกรูและปุ่มคอนโทรลเป็นระยะ โดยไม่ต้องขันแรงเกินไป เพื่อป้องกันเกลียวเสีย
  • ทำความสะอาดฟิงเกอร์บอร์ดอย่างเหมาะสม ไม่บ่อยเกินจำเป็น เพื่อคงผิวสัมผัสให้ลื่นและเล่นสบาย


ใช้งานบนเวทีและในสตูดิโอให้ได้ผลลัพธ์คงที่

  • บนเวทีให้ทดสอบระดับเสียงกับระบบจริงก่อนขึ้นเล่น แล้วล็อกค่าหลักไว้ ลดการหมุนปุ่มระหว่างเพลง
  • ในสตูดิโอให้จด Preset การตั้งค่าที่ใช้บ่อย เช่น ระดับ EQ และโหมด Active/Passive เพื่อกลับมาใช้ซ้ำได้แม่นยำ
  • หากใช้ DI ให้เช็คสัญญาณรบกวนก่อนอัด และจัดสายสัญญาณไม่ให้ตัดกับสายไฟแรงดันสูง
  • เวลาเล่นกับกลอง ให้สังเกตความยาวของโน้ตต่ำมากเป็นพิเศษ เพราะโน้ตที่ยาวเกินไปอาจทำให้มิกซ์ขุ่น
  • ทดลองบันทึกทั้งสัญญาณตรงและสัญญาณผ่านแอมป์ เพื่อเลือกคาแรคเตอร์ที่เข้ากับเพลงที่สุด

ด้านหลังบอดี้สีเข้ม คอเมเปิล โชว์ช่องฝาหลังและเพลทคอ เหมาะเช็คงานประกอบก่อนใช้งาน

สนใจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lazada และ Shopee ได้เลยที่นี่


🛒สั่งซื้อได้ที่นี่


รีวิวโดย gooddymusic

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น