เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII พลังโมดูเลชั่นระดับสตูดิโอสำหรับนักดนตรีสายโทนลึก

เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII บนพื้นขาวมีโลโก้ Walrus Audio และตัวหนังสือโปรโมชันร้าน CT Music

     ในโลกของเอฟเฟคกีต้าร์สมัยนี้ นักดนตรีไม่ได้มองหาแค่เสียง Chorus หรือ Phaser แบบพื้น ๆ อีกต่อไป แต่ต้องการเอฟเฟคก้อนเดียวที่ทำได้ทั้งโทนวินเทจและโทนใสคมแบบสมัยใหม่ ใช้งานได้ทั้งในห้องอัดและบนเวทีจริง Walrus Audio จึงออกแบบรุ่นเรือธงอย่าง เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII ให้กลายเป็นศูนย์รวมเอฟเฟคโมดูเลชั่นที่ครบจบในก้อนเดียว ใช้งานไม่ซับซ้อน แต่ซ่อนรายละเอียดการปรับแต่งไว้ลึกพอสำหรับคนที่จริงจังกับคุณภาพเสียง


     Walrus Audio เป็นแบรนด์เอฟเฟคจากสหรัฐอเมริกาที่ให้ความสำคัญทั้งเรื่อง “โทนเสียง” และ “งานออกแบบ” ไปพร้อมกัน ตระกูล Mako Series ถูกวางตัวให้เป็นไลน์ระดับมืออาชีพสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพใกล้เคียงอุปกรณ์สตูดิโอ แต่ยังอยากได้ความคล่องตัวแบบเอฟเฟคก้อนเดียว M1 MKII จึงไม่ใช่แค่เอฟเฟคโมดูเลชั่นทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำหรับทดลองโทนใหม่ ๆ ทั้งสำหรับคนที่เริ่มจริงจังกับเสียงของตัวเอง ไปจนถึงมืออาชีพที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์ด้านซาวด์ของตัวเองให้ชัดเจน


โครงสร้างหลักและระบบภายในของ เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII

เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII มุมตรงเห็นปุ่มหมุน หน้าจอ OLED และสวิตช์เหยียบสองปุ่มพร้อมไฟสถานะ

     หัวใจของ M1 MKII คือชิปประมวลผลแบบดิจิทัลที่ออกแบบมาสำหรับเอฟเฟคโมดูเลชั่นโดยเฉพาะ ภายในมีอัลกอริทึมคุณภาพระดับสตูดิโอ 6 แบบ ได้แก่ Chorus, Phaser, Tremolo, Vibrato, Rotary และ Filter ซึ่งแต่ละโหมดถูกปรับแต่งให้ตอบสนองต่อการเล่นจริง ทั้งน้ำหนักมือ การเกา และรายละเอียดปลายโน้ต


เพื่อให้มือใหม่ด้านเอฟเฟคมองภาพได้ง่าย สามารถสรุปบุคลิกของแต่ละโหมดได้ดังนี้

  • Chorus – เพิ่มความหนาและความกว้างของเสียง เหมาะกับคอร์ดคลีนและเมโลดี้ที่อยากให้ลอยออกมาจากทั้งวง
  • Phaser – ให้เสียงหมุนวนผ่านความถี่ ฟังแล้วเหมือนเสียงกำลังเคลื่อนไหวไปมา เหมาะกับแนวร็อก ฟังก์ หรือโซโล่ที่อยากเพิ่มคาแรกเตอร์ให้ไม่เรียบเกินไป
  • Tremolo – หรี่และเร่งระดับความดังของเสียงเป็นจังหวะ ทำให้กีต้าร์ช่วยสร้างจังหวะของเพลง เหมาะกับบลูส์ อินดี้ หรือเพลงที่เน้นอารมณ์
  • Vibrato – ขยับความสูงของโน้ตขึ้นลงเล็กน้อย ให้ความรู้สึกคล้ายเสียงเทปหรือแผ่นเสียงเก่า เพิ่มบรรยากาศโหยหา นุ่มนวล
  • Rotary – จำลองตู้ลำโพงหมุน ใช้กับคอร์ดยาว ๆ แล้วได้อารมณ์คล้ายเสียงออร์แกน เพิ่มมิติให้ทั้งวงได้ทันที
  • Filter – เคลื่อนย่านความถี่ขึ้นลง ทำให้เสียงฟังแปลกหูหรือเหมือนมีการกรองเสียง เหมาะกับการทำอินโทร เพลงทดลอง และงานประกอบภาพ


     ตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงชื่อโหมด ค่า Rate, Depth และค่าต่าง ๆ เป็นตัวเลขชัดเจน ผู้เล่นไม่ต้องเดาจากตำแหน่งปุ่มเหมือนเอฟเฟคแอนะล็อกสมัยก่อน ทำให้จำเซ็ตติ้งที่ชอบและเรียกกลับมาใช้ซ้ำได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีหลายเพลงในหนึ่งโชว์ที่ต้องใช้โทนต่างกัน

เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII มุมเอียงด้านหน้าโชว์หน้าจอ OLED ปุ่มควบคุมอัลกอริทึมและสวิตช์เหยียบพร้อมไฟ LED

     โครงสร้างตัวถังทำจากอะลูมิเนียม แข็งแรง แต่ยังมีน้ำหนักเบาพอสำหรับวางบนบอร์ดเอฟเฟค ด้านหลังมีอินพุตและเอาต์พุตแบบโมโนและสเตอริโอ จึงต่อได้ทั้งหน้าแอมป์และในเอฟเฟคลูป นอกจากนี้ยังมีพอร์ต MIDI In, MIDI Thru และ USB‑C สำหรับอัปเดตเฟิร์มแวร์ในอนาคต ใช้ไฟ 9VDC ประมาณ 300mA และแนะนำให้ใช้ร่วมกับ Power Supply แบบ Isolated เพื่อลดสัญญาณรบกวนในระบบ


ฟีเจอร์ใหม่ที่นักดนตรีต้องรู้ของ เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII

     จุดที่ทำให้รุ่นนี้ต่างจากเอฟเฟคโมดูเลชั่นทั่วไปอย่างชัดเจนคือปุ่ม Lo‑Fi ซึ่งใช้ปรับบุคลิกของเสียงให้ไม่เรียบเกินไป ผู้เล่นสามารถเพิ่มความหม่น ความดิบ หรือโทนที่ฟังเหมือนผ่านอุปกรณ์เก่า ๆ เข้าไปในทุกโหมด เช่น ลดความใสของเสียงย่านสูง บีบไดนามิกให้แน่นขึ้น หรือทำให้เสียงฟังดูเก่าอย่างตั้งใจ เหมาะกับแนวอินดี้ ดรีมป๊อป และงานประกอบภาพที่ต้องการ texture ของเสียงที่มีรายละเอียดมากกว่าแค่เสียงสะอาด ๆ


     ระบบ Total BPM Control ช่วยให้ตั้งค่าความเร็วของเอฟเฟคได้เป็นตัวเลขจริง โดยเฉพาะในโหมด Chorus, Phaser, Tremolo และ Vibrato เพียงหมุนไปค่าที่ต้องการแล้วดูจากหน้าจอ OLED ก็สามารถซิงค์เอฟเฟคให้ตรงกับความเร็วเพลง คลิกของมือกลอง หรือ Backing Track ได้อย่างแม่นยำ แทนที่จะหมุนเอาตามความรู้สึกเพียงอย่างเดียว


    ภายในยังมีฟังก์ชัน Internal Wet/Dry Mix สำหรับปรับสัดส่วนระหว่างเสียงจากเครื่องดนตรีจริงกับเสียงเอฟเฟค ช่วยให้มือกีต้าร์รักษาความชัดของโน้ตไว้ได้ แม้จะเปิดเอฟเฟคแรง ๆ เหมาะมากสำหรับคนที่เล่นคอร์ดซับซ้อน หรือทำงานสตูดิโอที่ต้องการทั้งมิติของเอฟเฟคและความชัดของการเล่น


     อัลกอริทึม Chorus ในรุ่นนี้ถูกพัฒนาให้ทำเสียงแบบ Flanger ได้ด้วย ทำให้ครอบคลุมโทนโมดูเลชั่นคลาสสิกที่มักพบในเพลงยุค 70s–80s ตัวเครื่องรองรับการเก็บ Preset ได้ถึง 128 ช่อง ผู้ใช้สามารถตั้งโทนสำหรับแต่ละเพลงหรือแต่ละช่วงของโชว์ไว้ล่วงหน้า แล้วเรียกใช้ผ่านสวิตช์หน้าเครื่องหรือผ่าน MIDI ก็ได้ ภายในมีเมนูย่อยให้เข้าไปปรับค่าละเอียด เช่น รูปคลื่นของแต่ละโหมด ลักษณะการแกว่งของ Tremolo และค่าต่าง ๆ ของ Lo‑Fi อย่างเป็นระบบ


การควบคุมค่าพารามิเตอร์และเมนูภายใน

     ปุ่มควบคุมบนตัวเครื่องถูกจัดวางให้เข้าใจง่าย ปุ่มด้านบนใช้ปรับค่าหลักอย่างความเร็ว ความลึก และระดับ Lo‑Fi ส่วนปุ่มด้านล่างใช้สลับโหมดและเข้าเมนูย่อย เมื่อต้องการตั้งค่าเชิงลึกเพียงกดปุ่มตามคำสั่งแล้วหมุนเลือกเมนูบนหน้าจอ OLED ไม่จำเป็นต้องจำฟังก์ชันซ่อนหลายชั้นเหมือนเอฟเฟคดิจิทัลบางรุ่น


     เมื่อปรับค่าที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ผู้เล่นสามารถบันทึกเป็น Preset เพื่อเรียกใช้ภายหลังได้ทันที หากมีโทนที่ใช้ประจำ เช่น โทนคลีนใสสำหรับเล่นคอร์ด โทนเน้นเมโลดี้ หรือโทนสำหรับเสียงบรรยากาศ ก็ไม่ต้องหมุนปุ่มใหม่ทุกครั้งก่อนเริ่มเล่น เพียงเลือก Preset ให้ตรงกับเพลงก็พร้อมใช้งาน


ความสามารถด้านการเชื่อมต่อและการใช้งานบนเวที

     ในการเล่นสด M1 MKII รองรับทั้งการต่อแบบโมโนไปยังแอมป์ตัวเดียว และการต่อแบบสเตอริโอเพื่อให้ภาพเสียงกว้างเต็มเวที เมื่อใช้ร่วมกับแอมป์สองตัวหรือระบบ PA แบบสเตอริโอ เอฟเฟคอย่าง Chorus และ Rotary จะให้ผลชัดเจนเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนเสียงกีต้าร์โอบล้อมจากทั้งสองด้าน

ด้านข้างเอฟเฟคโมดูเลชั่นสีฟ้าเห็นแจ็คเอาต์พุต MONO L และ STEREO R พร้อมช่องต่อไฟ 9VDC ทางซ้ายมือ

     พอร์ต MIDI ช่วยให้จัดระบบร่วมกับ MIDI Controller ได้สะดวก สามารถสั่งเปลี่ยน Preset หลายค่าในจังหวะเดียว หรือซิงค์ความเร็วของเอฟเฟคให้สัมพันธ์กับอุปกรณ์อื่นในบอร์ด ลดจำนวนครั้งที่ต้องกดสวิตช์ และช่วยให้โชว์ลื่นไหลมากขึ้น

มุมมองด้านบนเอฟเฟคโมดูเลชั่นสีฟ้าเข้ม แสดงช่องต่อ MIDI IN USB-C และ MIDI THRU สำหรับควบคุมสัญญาณ

     สวิตช์ BYPASS และ TAP/SKIP เป็นสวิตช์โลหะที่ออกแบบมารับแรงเหยียบได้ดี ตำแหน่งวางช่วยให้กดด้วยเท้าได้ถนัดแม้บอร์ดแน่น ไฟแสดงผลด้านหน้าช่วยให้เห็นชัดว่าเอฟเฟคกำลังทำงานอยู่หรือไม่ และกำลังอยู่ในโหมดใด เหมาะกับเวทีที่แสงน้อยหรือมีหมอกควัน


จุดเด่นด้านวัสดุและความทนทานของตัวเครื่อง

     ตัวถังเคลือบสีฟ้าเข้มแบบด้าน ช่วยลดรอยนิ้วมือและรอยขีดข่วนในระดับหนึ่ง กราฟิกสไตล์ Mako Series ทำให้มองเห็นบนบอร์ดได้ชัดเจนโดยไม่รกตา ปุ่มหมุนเป็นโลหะผสมมีขอบยาง ช่วยให้จับหมุนได้มั่นคงแม้มีเหงื่อที่มือ

เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII มองจากด้านหน้าล่างเห็นโลโก้ Mako MKII และสวิตช์เหยียบคู่บนตัวเครื่องสีน้ำเงินเข้ม

     ด้านล่างของตัวเครื่องออกแบบให้ติดเทปตีนตุ๊กแกลงบอร์ดได้ง่ายโดยไม่บังสกรู ขั้วแจ็คอินพุตและเอาต์พุตเป็นโลหะขันยึดแน่น ช่วยลดปัญหาเสียงจี่หรือสายหลวมเมื่อใช้งานไปนาน ๆ เหมาะกับคนที่ต้องยกบอร์ดขึ้นลงเวทีบ่อย ๆ

ฝาล่างเอฟเฟคโมดูเลชั่นสีฟ้าเข้มเรียบพร้อมน็อตสี่มุมสำหรับยึดกับบอร์ดหรือฐานรองบนเวที

ความสามารถเชิงเสียงและตัวอย่างโทนสำหรับแนวเพลงต่าง ๆ

     ในมุมของเสียงจริง M1 MKII ครอบคลุมตั้งแต่โทนโมดูเลชั่นเบา ๆ ที่แทบไม่รู้สึก ไปจนถึงเสียงหมุนวนชัด ๆ แบบแนวดิจิทัลสมัยใหม่ โหมด Chorus เหมาะมากกับการเล่นคอร์ดคลีนในแนวป๊อป ร็อก หรือเพลงสรรเสริญ เพราะช่วยเพิ่มมิติและความหนาให้เสียง โดยที่โน้ตยังคมชัด


     Phaser ให้คาแรกเตอร์เสียงที่เคลื่อนผ่านความถี่อย่างต่อเนื่อง เมื่อนำไปใช้ร่วมกับ Overdrive เล็กน้อยจะได้บรรยากาศใกล้เคียงเพลงร็อกยุค 70 ส่วน Tremolo เหมาะกับเพลงที่อยากให้กีต้าร์ช่วยเน้นจังหวะ เช่น บลูส์ช้า อินดี้โฟล์ก หรือเพลงที่เน้นอารมณ์ของผู้ร้อง


     สำหรับคนที่ชอบเสียงวินเทจ Vibrato ในรุ่นนี้ให้ความรู้สึกคล้ายเสียงเทปหรือแผ่นเสียงที่ค่อย ๆ แกว่งระดับโน้ต ช่วยเพิ่มความโหยหาและความนุ่มนวลให้เมโลดี้ Rotary ก็เป็นอีกโหมดที่น่าสนใจ เมื่อนำไปใช้กับคอร์ดที่เล่นค้างไว้ จะได้อารมณ์คล้ายเสียงออร์แกนผ่านตู้ลำโพงหมุน ช่วยเพิ่มมิติให้ซาวด์ของทั้งวงได้อย่างชัดเจน


     โหมด Filter เหมาะกับการทดลองแนวเสียงใหม่ ๆ ไม่ว่าจะใช้กับกีต้าร์ไฟฟ้า ซินธ์ หรือเครื่องดนตรีอื่น สามารถสร้างเสียงที่ฟังแปลกหู ใช้เปิดเพลง ทำอินโทร หรือใช้ในงานประกอบภาพยนตร์ได้อย่างยืดหยุ่น


ตัวอย่างแนวคิดการตั้งค่าที่นำไปลองใช้ได้จริง เช่น

  • เลือก Chorus แบบสเตอริโอ ปรับความลึกปานกลาง และเพิ่ม Lo‑Fi เล็กน้อยสำหรับเล่นอาร์เปจิโอคลีนให้ลอยขึ้นมาจากทั้งวง
  • ใช้ Phaser ที่ความเร็วช้า วางไว้ก่อน Delay และ Reverb เพื่อให้ได้พื้นหลังเสียงกว้าง ๆ สำหรับแนว Ambient
  • ตั้ง Tremolo ให้ซิงค์กับความเร็วเพลง แล้วใช้ในท่อนที่อยากให้กีต้าร์ช่วยเน้นจังหวะของวงให้ชัดขึ้น
  • ใช้ Vibrato เพียงเล็กน้อยร่วมกับ Overdrive สำหรับโซโล่ที่ต้องการความสั่นไหวเบา ๆ โดยไม่ทำให้ฟังแล้วเวียนหัว



แนวคิดการจัดวางในบอร์ดและการใช้งานร่วมกับเอฟเฟคอื่น

     ตำแหน่งที่นิยมวาง M1 MKII บนบอร์ดคือหลัง Overdrive และ Distortion เพื่อให้เอฟเฟคโมดูเลชั่นทำงานกับเสียงที่ถูกขับแล้ว ทำให้ภาพรวมของเสียงยังคมชัดและไม่เละ แต่ถ้าอยากทดลองแนวเสียงใหม่ ๆ บางคนก็เลือกวางก่อนเอฟเฟคแตกเสียง เพื่อให้คาแรกเตอร์ของโมดูเลชั่นถูกดันขึ้นมาพร้อมเสียงแตก

อีกด้านของเอฟเฟคโมดูเลชั่นสีฟ้าแสดงแจ็คอินพุต MONO L และ STEREO R สำหรับรับสัญญาณเข้าแบบโมโนหรือสเตอริโอ

     เมื่อใช้งานร่วมกับ Delay และ Reverb การวาง M1 MKII ก่อนเอฟเฟคหน่วงเสียงจะช่วยให้โมดูเลชั่นส่งผลกับโน้ตตั้งต้นก่อน แล้วค่อยแตกตัวเป็นเสียงก้อง ทำให้ได้เสียงที่มีชั้นของ texture ชัดเจน ส่วนการวางไว้หลัง Reverb จะให้ความรู้สึกเหมือนทั้งห้องหรือทั้งฮอลล์กำลังกวัดแกว่งไปมาพร้อมกัน เหมาะกับแนว Post‑Rock และงานประกอบภาพที่ต้องการบรรยากาศจัด ๆ


     ถ้าใช้แอมป์ที่มีเอฟเฟคลูป การต่อ M1 MKII ไว้ในลูปจะช่วยเก็บรายละเอียดของเสียงขับจากหน้าแอมป์ได้ดี โดยเฉพาะเวลาใช้เสียงแตกจากแอมป์โดยตรง และเมื่อใช้สัญญาณสเตอริโอเข้ามิกเซอร์หรือออดิโออินเทอร์เฟซ ก็สามารถอัดเสียงกีต้าร์ที่มีมิติกว้าง ๆ ได้จากเอฟเฟคก้อนเดียว


เหตุผลที่ เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII เป็นหนึ่งในเอฟเฟคโมดูเลชั่นที่ครบที่สุดในยุคนี้

     เมื่อมองภาพรวม M1 MKII รวมคุณสมบัติที่มือกีต้าร์ส่วนใหญ่มองหาไว้ครบถ้วน ทั้งจำนวนโหมดที่เพียงพอสำหรับการใช้งานจริง คุณภาพเสียงที่เนียนและเงียบ ฟีเจอร์ด้านการควบคุมที่เข้าใจง่าย และความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นในระบบเดียวกัน ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องซื้อ Chorus, Phaser, Tremolo และ Vibrato แยกกันหลายก้อน เพราะเอฟเฟคก้อนเดียวสามารถทำหน้าที่แทนได้เกือบทั้งหมด


     ฟีเจอร์อย่าง Preset จำนวนมาก การควบคุมความเร็วเป็นตัวเลข และเมนูที่อ่านง่าย ช่วยลดเวลาการเตรียมเสียงทั้งในห้องซ้อมและบนเวที นักดนตรีจึงมีเวลามากขึ้นสำหรับคิดไอเดีย ทำเพลง และซ้อมเล่นจริง แทนที่จะต้องก้มลงมาหมุนปุ่มอยู่ตลอดเวลา


หากสรุปจุดเด่นหลักของ M1 MKII แบบสั้น ๆ สามารถมองได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้

  • รวมเอฟเฟคโมดูเลชั่นยอดนิยมหลายประเภทไว้ในก้อนเดียว
  • ระบบควบคุมชัดเจน มีหน้าจอ OLED และเมนูภายในที่ใช้งานไม่ซับซ้อน
  • รองรับ Preset จำนวนมากและเชื่อมต่อ MIDI ได้ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพ
  • ตัวถังแข็งแรง น้ำหนักไม่มาก ขนย้ายสะดวก
  • มีปุ่ม Lo‑Fi และค่าปรับเชิงลึก เปิดโอกาสให้ลองโทนใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา


ทำไมมือกีต้าร์จำนวนมากจึงเลือกใช้ เอฟเฟคกีต้าร์ Walrus M1 MKII ในการทำเพลง

     เสียงตอบรับจากผู้เล่นหลายกลุ่มมักไปในทิศทางเดียวกันว่า M1 MKII เป็นเอฟเฟคที่ช่วยให้การหาโทนประจำตัวทำได้ง่ายขึ้น มือที่เน้นงานสตูดิโอมักชอบในความเงียบ รายละเอียดของเสียง และความสามารถในการปรับแต่งได้ละเอียด ส่วนมือสายเวทีชอบความเสถียร ความทนทาน และการเปลี่ยน Preset ได้รวดเร็วโดยไม่สะดุดโชว์


     สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจริงจังกับการทำเพลง การมีเอฟเฟคโมดูเลชั่นที่เชื่อถือได้หนึ่งก้อนช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ได้มาก เพียงแค่ลองเปลี่ยนจากเสียงคลีนตรง ๆ มาเป็นเสียงที่มีมิติของ Chorus หรือ Vibrato บาง ๆ ก็อาจคิดริฟฟ์ใหม่หรือท่อน hook ใหม่ที่ไม่เคยลองมาก่อน เอฟเฟคก้อนนี้จึงทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องมือแต่งเสียงและเครื่องมือจุดประกายไอเดียไปพร้อมกัน


     ในมุมของคนที่มองเรื่องการลงทุนระยะยาวกับอุปกรณ์ M1 MKII ถือเป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณา เพราะรองรับการอัปเดตเฟิร์มแวร์ผ่าน USB‑C ใช้งานได้ดีกับทั้งกีต้าร์ ซินธ์ และเซ็ตอุปกรณ์แบบผสม เมื่อรวมคุณภาพเสียง งานประกอบ และฟีเจอร์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จึงไม่น่าแปลกที่หลายคนเลือกให้มันเป็นเอฟเฟคโมดูเลชั่นหลักบนบอร์ดของตัวเอง


สนใจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lazada และ Shopee ได้เลยที่นี่


🛒สั่งซื้อได้ที่นี่


รีวิวโดย gooddymusic

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น