เมื่อพูดถึงกีต้าร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งการแสดงสดและการบันทึกเสียงในระดับมืออาชีพ หนึ่งในชื่อที่ถูกพูดถึงบ่อยคือ กีต้าร์ไฟฟ้า Yamaha Pacifica Professional PACP12 รุ่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเล่นให้คมชัดในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง ปิคอัพ หรือฮาร์ดแวร์ ทุกอย่างถูกวางมาอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าสำหรับนักดนตรีที่ต้องการความเสถียรและคุณภาพเสียงที่เชื่อถือได้
จุดเด่นของกีต้าร์ไฟฟ้าระดับโปร
ในยุคที่การแสดงดนตรีต้องการคุณภาพเสียงที่ชัดเจนและการควบคุมเสียงที่หลากหลาย กีต้าร์ไฟฟ้ารุ่นนี้ถือว่าออกแบบมาได้อย่างลงตัว เริ่มจากบอดี้ที่ทำจากไม้ Alder ให้เสียงที่บาลานซ์และกลมกล่อม พร้อมด้วยเฟรตสแตนเลสแบบ Medium ที่ให้ความลื่นไหลในการเล่น ไม่ว่าจะสายสปีดหรือชอบเสียงบลูส์ก็จัดการได้อยู่หมัด
นอกจากนี้ระบบปิคอัพ Reflectone HS7n/HS7m/HH7b ยังสามารถดึงรายละเอียดเสียงได้ครบถ้วนจากทุกตำแหน่งการเล่น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ Push-Pull Coil Split ที่ให้ความสามารถในการสลับโหมดเสียงได้อย่างอิสระ เสริมความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งในแนวร็อก แจ๊ส หรือแม้แต่ป็อป
กีต้าร์ไฟฟ้า Yamaha Pacifica Professional PACP12 ในโลกของมืออาชีพ
เมื่อมองจากมุมของนักดนตรีมืออาชีพ จุดตัดสินใจในการเลือกกีต้าร์ไม่ได้มีแค่เรื่องเสียงเท่านั้น แต่รวมถึงความเสถียรของระบบล็อกสาย (Gotoh Locking Tuners) และสะพานสาย Gotoh 510T FE-1 ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความแม่นยำ ช่วยให้การใช้คันโยกหรือการดันสายไม่ทำให้เสียงเพี้ยนง่าย
นอกจากนี้ยังมีการเสริมเทคโนโลยีพิเศษ I.R.A. Treatment ที่เป็นกระบวนการเร่งการสั่นสะเทือนของไม้ ช่วยให้กีต้าร์เกิดการตอบสนองเสียงที่ "เปิด" มากขึ้นตั้งแต่แกะกล่อง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มืออาชีพไว้วางใจรุ่นนี้
สำรวจรายละเอียดของ กีต้าร์ไฟฟ้า Yamaha Pacifica Professional PACP12
สำหรับสายเทคนิคหรือมืออาชีพที่ต้องการข้อมูลลึก รุ่นนี้มาพร้อมกับสเกลมาตรฐาน 25.5 นิ้ว ฟิงเกอร์บอร์ด Rosewood หรือ Maple (ขึ้นกับรุ่น الفرعی PACP12 หรือ PACP12M) คอไม้เมเปิ้ลเคลือบซาตินที่เล่นง่ายมือ และระบบเฟรตที่ปรับให้เป็นคอมพาวด์เรเดียส (10"–14") ช่วยให้เล่นคอร์ดได้ง่ายและโซโล่ได้ลื่น
อีกหนึ่งข้อสังเกตคือการใช้ Graph Tech TUSQ ที่นัท ช่วยให้เสียงแต่ละโน้ตมีความใสและ sustain นานขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกล่อง Hardshell Case สำหรับพกพาอย่างมืออาชีพ
เล่นได้หลายแนว ไม่จำกัดสไตล์
สิ่งที่น่าสนใจคือกีต้าร์รุ่นนี้สามารถครอบคลุมแนวดนตรีได้กว้างกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเล่นแนวเมทัล ร็อก โซล หรือแจ๊ส ก็สามารถดึงเสียงที่ต้องการออกมาได้จากระบบปิคอัพแบบ HSS ที่ใส่มาให้ครบ พร้อมสวิตช์เลือกเสียง 5 ทางและวงจร High-pass ใน Volume ซึ่งช่วยรักษาโทนเสียงให้คมชัดแม้ลดวอลลุ่มลง
สำหรับใครที่เคยลอง Pacifica รุ่นทั่วไปมาแล้ว การก้าวขึ้นมาใช้ Pacifica Professional PACP12 จะรู้สึกถึงความ "พรีเมียม" ที่มากขึ้นในทุกสัมผัส ตั้งแต่เสียงแรกจนถึงสายสุดท้าย
คลิป YouTube
เครดิต : Yamaha Guitars
ทางเลือกใหม่ของนักดนตรีไทย
แม้ว่าตลาดกีต้าร์ไฟฟ้าจะมีตัวเลือกมากมาย แต่การมีแบรนด์ใหญ่อย่าง Yamaha เข้ามาเติมเต็มในกลุ่มระดับโปรนั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา นอกจากความน่าเชื่อถือแล้ว ยังมีบริการหลังการขายและเครือข่ายตัวแทนในไทยที่ครอบคลุม ทำให้การตัดสินใจเลือกใช้กีต้าร์รุ่นนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับใครที่อยากได้กีต้าร์ไว้ใช้งานจริงจัง
ในมุมของคนที่กำลังมองหาอาวุธคู่ใจในการขึ้นเวทีหรือทำงานสตูดิโอรุ่นนี้คือคำตอบที่ไม่ควรมองข้าม
อุปกรณ์และการดูแลรักษาที่แนะนำ
- ใช้สายสะพายคุณภาพดี เช่น หนัง PU หรือหนังแท้ เพื่อลดแรงกดทับไหล่
- ควรเก็บในกล่อง Hardshell Case ที่แถมมากับกีต้าร์เพื่อป้องกันความชื้นและแรงกระแทก
- เช็ดคอและบอดี้ด้วยผ้านุ่มหลังการใช้งานทุกครั้ง เพื่อยืดอายุผิวเคลือบ
- หลีกเลี่ยงการวางใกล้ความร้อนหรือแสงแดดโดยตรง เพราะอาจทำให้เนื้อไม้เปลี่ยนสภาพ
- ควรเปลี่ยนสายทุก 2–3 เดือน หรือเร็วกว่านั้นหากใช้งานหนัก
เคล็ดลับการตั้งเสียงให้เหมาะกับแนวเพลง
- แนวร็อก: ใช้ฮัมบัคเกอร์ (HH7b) เป็นหลัก พร้อมเปิดวงจร High-pass ช่วยให้เสียงคม
- แนวแจ๊ส: ใช้ปิคอัพคอ (HS7n) เพื่อได้โทนอุ่นและนุ่มนวล
- แนวบลูส์: ใช้ตำแหน่งผสม HS7n + HS7m ให้ความสมดุลของโทนเสียง
- แนวเมทัล: ดันวอลลุ่มสูงสุด + ใช้ Drive เสริมจากแอมป์หรือเอฟเฟกต์ภายนอก
- แนวป็อป: ใช้โหมด Coil Split เพื่อให้ได้โทน Single Coil ที่โปร่งและใส
เปรียบเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียง
- Yamaha Pacifica 612VII: รุ่นนี้ให้ปิคอัพ Seymour Duncan เสียงดี แต่ไม่มี I.R.A. Treatment และวัสดุเฟรตไม่เป็น Stainless Steel
- Fender Player Stratocaster: คล้ายกันด้านสเปก แต่ PACP12 ให้ระบบล็อกสาย Gotoh ที่เสถียรกว่าในการเล่นคันโยกหนัก ๆ
- Ibanez AZES: ราคาถูกกว่า แต่สเปกและความพรีเมียมโดยรวมยังไม่เทียบเท่า PACP12
- Pacifica Standard Series: รุ่นระดับเริ่มต้นของ Yamaha เอง เสียงดีแต่ยังขาดฟีเจอร์สำหรับมืออาชีพ เช่น Push-Pull Coil Split และระบบล็อกสายคุณภาพสูง
จุดสังเกตในการเลือกซื้อจากร้านค้าออนไลน์
- ตรวจสอบว่าเป็นร้านค้าที่มีป้าย “ร้านแนะนำ” หรือ “ร้านค้าอย่างเป็นทางการ” บนแพลตฟอร์ม เช่น Shopee Mall หรือ LazMall
- อ่านรีวิวจากผู้ซื้อจริง เพื่อดูปัญหาในการจัดส่งหรือคุณภาพสินค้า
- ตรวจสอบว่าราคาใกล้เคียงกับราคากลางหรือไม่ ถ้าต่ำเกินไปอาจเสี่ยงเป็นของปลอม
- เลือกร้านที่ให้บริการหลังการขาย เช่น รับประกันสินค้า หรือเปลี่ยนคืนได้ใน 7 วัน
- หากมีวิดีโอรีวิวหรือรูปถ่ายจริงจากลูกค้า จะช่วยให้มั่นใจได้มากขึ้น
เทคนิคการตั้งค่าก่อนใช้งานครั้งแรก
- ตรวจสอบความตึงของสายกีต้าร์ก่อนเริ่มเล่น หากตึงเกินไปควรคลายเล็กน้อยเพื่อป้องกันเฟรตบอด
- ลองหมุนปุ่ม Volume และ Tone เพื่อเช็คว่าไม่มีเสียงขาดหรือเสียงรบกวน
- ตั้งค่า Pickup Selector ให้แน่ใจว่าเสียงออกครบทุกตำแหน่ง
- ปรับ Action (ความสูงของสาย) ให้เหมาะกับสไตล์การเล่นของตนเอง โดยใช้ไขควงขันบริเวณ Bridge
- เชื่อมต่อกับแอมป์แล้วฟังเสียงว่าไม่มีเสียงฮัมผิดปกติหรือจี่ผิดเพี้ยนจากระบบไฟ
สนใจสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ Lazada และ Shopee ได้เลยที่นี่
🛒สั่งซื้อได้ที่นี่
👉 Lazada > ดูรายละเอียดสินค้าใน Lazada
👉 Shopee > ดูรายละเอียดสินค้าใน Shopee
รีวิวโดย gooddymusic
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น